longdodict-blog
 
 
'the' is an adjective (คุณศัพท์)
Submitted by jjay60 on Thu, 2010-11-11 11:37

คำคุณศัพท์ คืออะไร?

Adjective หรือ คำคุณศัพท์ ดูเหมือนเป็นที่คุ้นเคยกับภาษาอังกฤษมากกว่าซะงั้นไป ถึงแม้ว่าหลายคนได้รู้จักคำ Adjective ในภาษาอังกฤษมาบ้างแล้ว ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังเข้าใจไม่ถ่องแท้ ไม่ใช่เพราะอะไรหรอกครับ เพราะแค่ในภาษาไทยเราเอง เราก็ลืมไปแล้วว่าคำคุณศัพท์คืออะไร ทำหน้าที่อย่างไร ยิ่งถ้าให้ยกชนิดของคำในภาษาไทยมากล่าวเป็นคำๆ แล้ว ยิ่งลำบากกันไปใหญ่ คงยังจำกันได้ตอนเรียนวิชาภาษาไทยที่มีทั้ง คำนาม สรรพนาม คำกริยา บุพบท วิเศษณ์ คุณศัพท์ สันธาน และคำอุทาน ...สำหรับผมในตอนนั้น คำอุทานง่ายสุด

การไม่รู้จักภาษาของตัวเองให้ดีเสียก่อน จะเรียนภาษาที่สองที่สามก็ไม่ใช่เรื่องขี้หมูขี้หมา เพราะฉะนั้นการใช้เวลากลับไปทบทวนภาษาไทยบ้าง น่าจะเป็นเรื่องที่ดี รู้จักเราก็จะรู้จักเขา จริงมั้ยคับ

Adjective หรือ คำคุณศัพท์  คือคำที่เข้ามาขยายคำนาม ทำให้คำนามนั้นๆ มีรูปลักษณ์มากขึ้น เป็นคำที่เราใช้เป็นประจำในชีวิตประจำวัน 

เช่น ถ้าเราพูดถึงโทรศัพท์, Phone; เราสามารถเติม adjective เข้าไปได้ดังนี้

a phone, the phone, this phone, my phone, new phone, new black shiny titanium phone

คำที่ขีดเส้นใต้เหล่านี้เป็น adjective ครับ แม้แต่ a หรือ the 

เพราะ a และ the เป็นตัวชี้ลักษณะของโทรศัพท์ว่าเป็นอย่างไร เป็นโทรศัพท์เครื่องเดียวทีไม่ได้ชี้เฉพาะ หรือเป็นการย้ำ ชี้เฉพาะว่าเป็นโทรศัพท์เครื่องไหน

เราจะสังเกตได้ว่าการวางตำแหน่งของ adjective ในภาษาอังกฤษสามารถวางได้ทั้งหน้าและหลังคำนาม หากวางอยู่หน้าคำนาม ก็จะต้องเรียงให้ถูกต้องตามกฎลำดับคำ adjective ของภาษาอังกฤษซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป ส่วนถ้า adjective วางอยู่หลังคำนาม มันจะเป็นต้องมี Linking verb มาขั้นกลางเสียก่อน เช่น I am white, she looks tired, etc.  ซึ่งแน่นอนว่าเราต้องจำด้วยว่าคำไหนเป็น linking verb

 สรุปง่ายๆ เลยครับ ว่า adjective ในภาษาอังกฤษอยู่ได้ทั้งหน้าคำนามที่มันขยาย และหลังคำนามที่มันขยาย (หลัง linking verb) ต่างกับภาษาไทยนิดเดียวเท่านั้นตรงที่คำคุณศัพท์ของไทยขยายหลังคำนามอย่างเดียวเท่านั้น  ซึ่งตรงนี้แหละที่ทำให้ใครหลายคนเข้าใจสับสน สรุปไปเองว่าภาษาอังกฤษแปลจากหลังไปหน้า โดยอันที่จริงแล้วการแปลและเรียบเรียงประโยคก็แปลจากหน้าไปหลัง แค่สังเกตการวางตำแหน่งของ adjective ในประโยคภาษาอังกฤษครับ ตัวอย่างเช่น

She bought the brandnew Nokia phone yesterday. = เธอซื้อโทรศัพท์โนเกียเครื่องใหม่เอี่ยมเมื่อวานนี้

The phone that she bought is brandnew Nokia (phone) . = โทรศัพท์ที่เธอซื้อเป็นโนเกียเครื่องใหม่เอี่ยม

สังเกตนะครับ  ว่าประโยคแรก ตำแหน่งของ adjective อยู่ข้างหน้าคำนาม (phone)  ซึ่งพอแปลเป็นภาษาไทย ให้ตายยังไงคำนามก็ต้องมาอยู่ข้างหน้าคำคุณศัพท์อยู่ดี  หากคนที่ยังสับสนเข้าใจว่าภาษาอังกฤษแปลจากหลังมาหน้า ก็อาจจะแปลได้ว่า

= "เมื่อวานนี้ โทรศัพท์โนเกียเครื่องใหม่ เธอซื้อ"  อาจงงนิดหน่อย  แต่ก็ยังพอเข้าใจได้ครับ  แต่มันจะดีกว่ามากๆ ถ้าเราเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ ว่าภาษาอังกฤษไม่ได้แปลจากหลังมาหน้า  แค่สังเกตคำ adjective ให้ดีเท่านั้นว่าวางอยู่ในตำแหน่งใด คำไหนคือคำนามที่ถูกกล่าวถึง แล้วก็แปลจากหน้าไปหลังได้อย่างง่ายดาย ตามนี้ครับ

She bought = เธอซื้อ

the brandnew Nokia phone = โทรศัพท์โนเกียเครื่องใหม่เอี่ยม

yesterday = เมื่อวานนี้

มาดูประโยคที่สองครับ

The phone that she bought is brandnew Nokia (phone). ประโยคนี้แปลและเรียบเรียงได้ง่ายมากครับ คือจากหลังไปหน้าตรงๆ เลย  แต่ถ้าใครยังติดคอนเซปที่ว่าภาษาอังกฤษแปลจากหลังไปหน้า ประโยคนี้จะกลายเป็นประโยคใหม่ไปเลย มาดูกันครับ

"โนเกียเครื่องใหม่ คือซื้อเธอ ที่โทรศัพท์"

 

 

 

 

Comments

ขอบคุณค่ะสำหรับบทความดีๆ ทำให้กระจ่างขึ้นเยอะเลยค่ะ ;)

Adj. ใช้สำหรับการขยายคำนาม

โดยทั่วไป a, an, the จะถูกเรียกว่าเป็น article มากกว่า adj. แต่ก็คือทำหน้าที่ในลักษณะเดียวกับ adj. บางครั้งก็ทำหน้าที่เหมือน adv. บ้าง เช่น the sooner, the better

Sorry, "the" and "a" are not adjectives. They say nothing about the object itself. For example, "red phone" says that the phone itself is red. "The phone" simply directs attention to a particular phone, while "a phone" directs attention to phone's in general (its not really that simple, but that's roughly the idea). "A phone" is equivalent to "โทรศัพท์ หนึ่ง", "the phone" is sometimes equivalent to "โทรศัพท์ นั้น", more often "that phone". หนึ่ง และ นั้น ไม่ไช่ คำคุณศัพท์ -- Steve

ส่วนใหญ่เราจะใช้ a, an, the เป็น article นะคะ
เพราะ a, an ไม่ใช่การชี้เฉพาะ แต่จะใช้ the เพื่อชี้เฉพาะถึงสิ่งที่ผู้พูดกับผู้ฟังรับรู้ร่วมกันว่าเป็นชิ้นไหน จะใช้ the เมื่อก่อนหน้าได้พูดถึงสิ่งนั้นๆไปแล้วค่ะ


และขออนุญาติขยายความเรื่อง Linking verbs ค่ะ ที่มา : http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=13458

Linking verbs คือ กริยาที่ใช้แสดงสภาพ และความรู้สึกของประธาน กริยาชนิดนี้ไม่ต้องการกรรม (object) มารับ แต่ต้องการคำคุณศัพท์ (adjective) และส่วนเติมเต็ม (complement) เพื่อจะมาช่วยให้ประโยคนั้นสมบูรณ์ และมีความหมายชัดเจนยิ่งขึ้น Linking Verbs ที่พบบ่อย ได้แก่


แบบที่ 1 V. to be ทั่วไป
She is beautiful. (adjective) คำคุณศัพท์
She is a teacher. (complement) ส่วนเติมเต็ม

แบบที่ 2 ใช้รูปแบบ S V Adjective.
รูปแบบการใช้ : He got angry.
ความหมายกว้างๆ คือ กลายเป็น เปลี่ยนสภาพ

กริยาที่ใช้ในรูปนี้ ได้แก่
Appear ท่าทาง Prove ปรากฏว่า
Become เกิดขึ้น Remain ที่เหลืออยู่แน่ว่า
Consider พิจารณาว่า Seem มีท่าทางว่า
Find เห็นว่า Smell มีกลิ่น
Grow เกิดขี้น Sound ดูเหมือนว่า
Keep รักษา Tastes มีรส
Look ดูเหมือนว่า Turn กลายเป็น
Make ทำให้

ส่วนใหญ่เราจะใช้ a, an, the เป็น article นะคะ
เพราะ a, an ไม่ใช่การชี้เฉพาะ แต่จะใช้ the เพื่อชี้เฉพาะถึงสิ่งที่ผู้พูดกับผู้ฟังรับรู้ร่วมกันว่าเป็นชิ้นไหน จะใช้ the เมื่อก่อนหน้าได้พูดถึงสิ่งนั้นๆไปแล้วค่ะ


และขออนุญาติขยายความเรื่อง Linking verbs ค่ะ ที่มา : http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=13458

Linking verbs คือ กริยาที่ใช้แสดงสภาพ และความรู้สึกของประธาน กริยาชนิดนี้ไม่ต้องการกรรม (object) มารับ แต่ต้องการคำคุณศัพท์ (adjective) และส่วนเติมเต็ม (complement) เพื่อจะมาช่วยให้ประโยคนั้นสมบูรณ์ และมีความหมายชัดเจนยิ่งขึ้น Linking Verbs ที่พบบ่อย ได้แก่


แบบที่ 1 V. to be ทั่วไป
She is beautiful. (adjective) คำคุณศัพท์
She is a teacher. (complement) ส่วนเติมเต็ม

แบบที่ 2 ใช้รูปแบบ S V Adjective.
รูปแบบการใช้ : He got angry.
ความหมายกว้างๆ คือ กลายเป็น เปลี่ยนสภาพ

กริยาที่ใช้ในรูปนี้ ได้แก่
Appear ท่าทาง Prove ปรากฏว่า
Become เกิดขึ้น Remain ที่เหลืออยู่แน่ว่า
Consider พิจารณาว่า Seem มีท่าทางว่า
Find เห็นว่า Smell มีกลิ่น
Grow เกิดขี้น Sound ดูเหมือนว่า
Keep รักษา Tastes มีรส
Look ดูเหมือนว่า Turn กลายเป็น
Make ทำให้